วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2555

บทความ

ฟาสต์ฟู้ด..อาหารที่มีทั้งประโยชน์และโทษ

1. ช่วยประหยัดเวลา
    แน่นอนว่าเวลารีบ ๆ ฟาสต์ฟู้ดถือเป็นตัวเลือกอันดับแรก ๆ ของใครหลาย ๆ คน เพราะสะดวกทันใจแถมยังอร่อยสุด ๆ เหมาะกับการใช้ชีวิตที่รีบร้อนของสังคมสมัยนี้ เพราะแบบนี้หลายคนจึงเต็มใจจะโทรสั่งแฮมเบอร์เกอร์หรือพิซซ่ามานั่งกินไปทำงานไปที่โต๊ะกันเยอะแยะ


2. เลือกใส่เครื่องได้ตามใจชอบ
    จุดเด่นของฟาสต์ฟู้ดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การที่เลือกใส่เครื่องได้ตามใจชอบนี่แหละ เช่น ถ้าคุณทำพิซซ่าทานเอง คุณอยากจะใส่เครื่องอะไรโรยหน้าก็ได้ตามใจชอบ ยิ่งไปกว่านั้น เดี๋ยวนี้ต่อให้ไม่ทำอาหารเองที่บ้าน บางร้านก็มีบริการให้คุณเลือกใส่เครื่องได้ตามใจชอบเช่นกัน

3. แบบที่มีประโยชน์กับร่างกายก็มีเช่นกัน

    จากการที่ทุกวันนี้ผู้คนหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น ก็เลยทำให้ร้านต่าง ๆ หันมาเพิ่มตัวเลือกในการทานฟาสต์ฟู้ดแบบเพื่อสุขภาพคอยเอาใจลูกค้ากลุ่มนี้ด้วย ซึ่งถ้าใครอยากดูแลตัวเองและอร่อยกับฟาสต์ฟู้ดด้วยในเวลาเดียวกัน ก็ควรเปลี่ยนมาเลือกใส่เครื่องปรุงที่ดีมีประโยชน์กับร่างกายของคุณมากขึ้น เช่น ใช้ขนมปังโฮลวีทแทนขนมปังขาวจะดีกว่า


4. ราคาประหยัด
     อาหารฟาสต์ฟู้ดส่วนใหญ่จะมีราคาถูกกว่าพวกอาหารทั่วไปอยู่แล้ว (บางประเภท) เพราะฉะนั้นจึงเหมาะกับคนที่ต้องการจะเก็บเงินเป็นพิเศษ และเพราะแบบนี้เองร้านฟาสต์ฟูดถึงมีคนต่อคิวอยู่เสมอเพื่อให้ได้กินอาหารที่ทั้งอร่อยทั้งประหยัด

5. สารอาหารไม่เพียงพอ
     เป็นที่รู้กันดีว่าฟาสต์ฟู้ดน่ะไม่ได้มีสารอาหารครบถ้วนเพียงพอกับที่คนเราต้องการในแต่ละมื้อ ดังนั้นการกินแต่ฟาสต์ฟู้ดเป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นคนขาดสารอาหารไปด้วย โดยเฉพาะสารอาหารประเภทวิตามิน ดังนั้นควรทานอาหารอื่นเช่น สลัดควบคู่ไปด้วยเพื่อให้ร่างกายของคุณได้รับสารอาหารครบถ้วนอยู่เสมอ

6. เป็นตัวการทำให้อ้วน

    คนที่ต้องการจะลดน้ำหนักให้ได้ผล ควรงดอาหารพวกนี้อย่างจริงจัง เพราะอาหารฟาสต์ฟู้ดส่วนใหญ่เต็มไปด้วยของที่ทำให้อ้วนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ชีส เนย หรือน้ำมันที่จะทำให้น้ำหนักของคุณพุ่งพรวดอย่างรวดเร็ว รู้อย่างนี้แล้วใครที่อยากรักษาหุ่นก็อย่าลืมออกกำลังกายชุดใหญ่หลังทานมื้อหนักของคุณเข้าไปด้วยล่ะ

7. ทำให้ติดโดยไม่รู้ตัว
     การทานอาหารฟาสต์ฟู้ดติดต่อกันเป็นประจำ จะทำให้คุณติดใจในรสชาติของอาหารประเภทนี้ จนขยาดที่จะกินผักหรือพวกน้ำสลัดไขมันต่ำไปโดยไม่รู้ตัว แถมความสะดวกสบายในการกินยังทำให้คุณเคยตัวจนไม่คิดจะขยับตัวเดินไปไหนอีกด้วย ซึ่งกว่าจะมารู้ทีหลัง สุขภาพของคุณอาจย่ำแย่ไปมากแล้วก็ได้

8. เป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ
     ถ้าคุณทานฟาสต์ฟู้ดมากเกินไป อาหารพวกนี้ก็จะกลายมาเป็นตัวทำลายสุขภาพของคุณได้ จากปริมาณไขมันและเครื่องเทศรสจัดต่าง ๆ ที่มากเกินเหตุ โดยโรคที่พบหลัก ๆ จากคนที่ทานฟาสต์ฟู้ดมากเกินไปนั้นก็ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคอ้วน และโรคตับนั่นเอง

ขอขอบคุณ : http://variety.teenee.com/foodforbrain/46542.html



เรื่องแปลกแต่จริง (ทางวิทยาศาสตร์)
หิวเพราะกลิ่น
พอกลิ่น หอมของอาหารลอยมา พวกเราคงเคยรู้สึกหิวตามกลิ่นนั้นไปด้วยใช่ไหมล่ะ ก็กลิ่นอาหารเข้าไปกระตุ้นระบบการย่อยอาหารของเราน่ะสิครับ ทำให้น้ำย่อยในปากและท้องทำงาน เราจึงรู้สึกหิวทั้งๆที่บางครั้งเราไม่ต้องการกินอีกแล้ว


กระเพาะแข็งแกร่ง
ใน กระเพาะอาหารของเรามีน้ำย่อยที่มีฤทธิ์เป็นกรดสูงมาก จนสามารถละลายสังกะสีได้ แต่กรดเหล่านี้ไม่สามารถละลายผนังกระเพาะของเราได้ เนื่องจากทุกนาทีเซลล์ผนังกระเพาะเก่า 5000 เซลล์ จะถูกเซลล์ใหม่แทนที่และเปลี่ยนเป็นเซลล์ใหม่ทั้งหมดทุกๆ 3 วัน


ท้องร้องจ๊อกๆ
พวก เราเคยได้ยินเสียงท้องร้องเมื่อรู้สึกหิวบ้างไหมครับ สาเหตุที่ท้องร้องก็เพราะสมองซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมความรู้สึกหิวของเรา จะคอยจัดลำดับการทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้ ถ้าในเลือดมีสารอาหารพอเพียง สมองก็จะสั่งให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง แต่เมื่อใดที่มีสารอาหารในเลือดน้อยระบบย่อยอาหารจะทำงานเร็วขึ้นเราจึงได้ ยินเสียงท้องร้อง


ตกใจจนหน้าซีด
เมื่อ เราตกใจหน้าจะซีด เนื่องจากเลือดบริเวณแก้มจะไหลย้อนกลับอย่างรวดเร็วเพื่อทำหน้าที่ฉุกเฉิน คือให้สารอาหารและออกซิเจนแก่กล้ามเนื้อส่วนอื่น เนื่องจากร่างกายไม่ได้เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องเผชิญความตกใจ เมื่อเลือดจากแก้มไหลออกไป หน้าเราจึงซีด


เขินอาย
เมื่อ เรารู้สึกเชินอายหน้าเราก็จะแดง โดยเฉพาะบริเวณแก้มและลำคอ เพราะขณะที่เราเขินอาย เซลล์ประสาทจะถูกกระตุ้นให้ปล่อยสารเคมีที่พลังงานสูงชื่อว่า เปปไตด์ (peptide) ออกมา ทำให้เส้นเลือดที่แก้มและลำคอขยายตัว หน้าของเราจึงแดงมากกว่าปกติ

น้ำหนักวิญญาณ
เชื่อหรือไม่ครับว่าวิญญาณของพวกเราก็มีน้ำหนักด้วยเหมือนกัน นักวิทยาศาสตร์ทดลอง ชั่งน้ำหนักของวิญญาณโดยชั่งน้ำหนักของคนในขณะที่มีชีวิตอยู่เปรียบเทียบกับ น้ำหนักหลังจากเสียชีวิตทันที พบว่าน้ำหนักหายไป 21 กรัม จึงสรุปว่าดวงวิญญาณของพวกเรามีน้ำหนัก 21 กรัมด้วย

สารฆ่าความเจ็บปวด
น้องๆ เคยสังเกตไหมว่าทำไมบางครั้งนักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บในระหว่างการแข่งขันยัง สามารถลงแข่งขันได้จนจบหรือทหารที่ได้รับบาดเจ็บในสนามรบยังคงทนต่อสู้ข้า ศึกอยู่ได้ พวกเขาไม่เจ็บกันหรือ นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วครับว่าเมื่อมนุษย์เผชิญสถานการณ์ที่ตึงเครียด สมองจะปล่อยสารออกมายับยั้งความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ ทำให้มนุษย์ต่อสู้กับความเจ็บปวดได้

ไม่มีน้ำตา
รู้ หรือปล่าวว่าตอนที่เราอายุ 4-5 เดือน เราร้องไห้ไม่มีน้ำตากันหรอกครับ แม้จะร้องเสียงดังแค่ไหนก็ตาม ที่เป็นเช่นนี้เพราะต่อมน้ำตาของคนเราจะพัฒนาขึ้นหลังจากเกิดมาแล้ว 4-5 เดือน ตอนนี้พวกเราคงจะร้องไห้มีน้ำตากันทุกคนแล้วนะครับ

มาจากดวงดาว
ร่างกายของเราประกอบด้วยอะตอมจำนวนมาก อะตอมเหล่านี้มาจากไหน นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่ม เชื่อว่าอะตอมเกิดมาจากดวงดาวที่ดับแล้วเมื่อ 5000 ล้านปี ก่อนที่จะมีพระอาทิตย์เกิดขึ้น และดวงดวงนี้เคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ก่อนเมื่อโลกเกิดขึ้น เซลล์ของสิ่งมีชีวิตนี้ก็ได้พัฒนาเรื่อยมาจนกลายเป็นคน

สารพัดสาร
เชื่อ หรือไม่ว่าในร่างกายของเรามีสารอยู่มากมาย เช่น มีฟอสฟอรัสในปริมาณที่มากพอจะทำหัวไม้ขีดไฟ 2,000 ก้าน มีไขมันพอที่จะทำสบู่ได้ 7 ก้อน มีเหล็กมากพอที่จะทำตะปูได้ 1 ตัว มีปูนขาวที่สามารถละลายน้ำแล้วนำไปทาห้องเล็ก ๆ ได้ 1 ห้อง มีซัลเฟอร์ 1 ช้อนชาและโลหะอีกประมาณ 30 กรัม

นอนแล้วสูง
การ นอนช่วยให้เราสูงขึ้นได้ เพราะเมื่อเรายืนหรือนั่ง แผ่นกระดูกอ่อนที่กระดูกสันหลังจะถูกแรงดึงดูดของโลกกดลง การนอนช่วยให้แรงกดนี้หายไป แผ่นกระดูกอ่อนที่ถูกกดก็จะพองตัว ทำให้เราสูงขึ้นได้อีก 8 มิลลิเมตร แต่เมื่อตื่นมาเราก็จะสูงเท่าเดิม

 พลังกาย
ร่าง กายของคนเราแข็งแกร่งมากกว่าที่เราคิดเสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการยกน้ำหนัก เช่น ถ้าเรานอนหลับโดยห่มผ้าหนัก 2.5 กิโลกรัม หายใจโดยเฉลี่ย 16 ครั้งต่อนาที และนอนนานประมาณ 8 ชั่วโมง ทรวงอกของเราสามารถยกน้ำหนักได้ถึง 20 ตัน

ฉันทำไม่ได้
สิ่ง ที่ร่างกายของคนเราไม่สามารถทำได้ คือ หายใจและกลืนอาหารไปพร้อมๆ กัน เพราะกระบวนการกลืนจะไปรบกวนกระบวนการหายใจด้วยการปิดกั้นอากาศไม่ให้ผ่าน เข้าไปขณะที่อาหารเคลื่อนจากปากไปยังคอหอยและผ่านไปที่กระเพาะอาหาร


ขอขอบคุณ : http://variety.teenee.com/foodforbrain/46540.html



7 เรื่องนักไดเอทไม่ควรไว้ใจ



คนที่คิดว่าไว้ใจได้ บางครั้งยังมีการแทงข้างหลัง นับประสาอะไรกับเจ้าแผนไดเอทเหล่านี้
1. ไม่ดื่มน้ำ น้ำหนักไม่ขึ้นไม่รู้มีใครป้อนโปรแกรมเข้าสมองสาวๆ นะ ว่าน้ำหนักตัวส่วนหนึ่งมาจากน้ำ ถ้าไม่ดื่มน้ำน้ำหนักก็ไม่เพิ่ม ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วถ้าขาดน้ำ ร่างกายเราจะหิวจัดจนเบลอ คลื่นไส้ อารมณ์เสีย มีความยับยั้งชั่งใจต่ำ พอเห็นของกินเลยโซ้ยลืมโลก คนที่มองข้ามความสำคัญของน้ำเปล่า จึงอ้วนง่ายมาก วิธีที่ดีที่สุดคือ ดื่มน้ำทันทีที่ตื่นนอน 1 แก้ว ดื่มอีกแก้วระห่วางมื้ออาหาร จิบไปเรื่อยๆ ระหว่างทำงาน และดื่มอีกหนึ่งแก้วเต็มๆ ก่อนเข้านอน 1 ชั่วโมง

2. ดื่มน้ำผลไม้
เอาเข้าจริงน้ำผลไม้ที่ขายกันทุกวันนี้ไม่มีไฟเบอร์เหลืออยู่เลย แต่มีน้ำตาลเพียบทั้งจากตัวผลไม้เอง และจากน้ำเชื่อมหรือน้ำผึ้งที่แม่ค้าเขาใส่ลงไปแต่งรสให้อร่อยเหาะถูกใจคน กิน (แถมบางร้านยังไม่ยอมล้างผลไม้อีก) ดื่มน้ำผลไม้แก้วหนึ่งจึงเท่ากับเพิ่มความอ้วนให้ตัวเองอีกหลายขีด นอกจากนี้เวลาที่เราดื่มน้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงๆ เข้าไป ระดับน้ำตาลในเลือดจะพุ่งขึ้นทันที ทำให้คุณอิ่มเร็ว แต่ไม่นานพอร่างกายใช้น้ำตาลในเลือดหมดแล้ว ระดับน้ำตาลก็จะลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เราหิวจนตาลาย ทีนี้ข้าวจานเดียวก็เอาไม่อยู่


3. ไว้ใจทุกอย่างที่เป็นปลาปลาอาจจะมีโอเมก้า 3 ที่ช่วยสลายไขมันสะสม แต่ยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับสาวๆ กำลังไดเอท เพราะอาหารที่ทำจากปลามักจะหนีไม่พ้นการทอดหรืออบเนย ถ้าเป็นเบอร์เกอร์ปลาก็ไส่มายองเนสจนชุ่ม ก่อนจะทานปลาจึงต้องไม่ลืมคิดหาปริมาณแคลอรีด้วย เพราะปลาบางจานอาจจะแคลอรีสูงกว่าไก่ย่างรสแซบด้วยซ้ำไป

4. อาหารไขมันต่ำคือเพื่อนแท้
อาหารไขมันต่ำส่วนใหญ่รสชาติจะจืดมากถึงมากที่สุด ผู้ผลิตเขาก็เลยต้องอุดรูรั่วด้วยการกระหน่ำเติมน้ำตาลลงไ ทำให้คนกินอย่างเราได้รับแคลอรีที่ไม่ต้องการเพิ่มมาอีกเพียบ ถ้าคิดถจฝากความหวังไว้กับอาหารไขมันต่ำ จึงควรอ่านฉลากทุกครั้ง เพื่อเช็คปริมาณน้ำตาลและแคลอรีด้วย

5. ไว้ใจอาหารจานผัก
คำว่าผักอย่างเดียวไม่ได้ช่วยให้อาหารจานนั้นเป็นอาหารแคลอรีต่ำ เพราะอาหารผักๆ ส่วนใหญ่จะมาพร้อมน้ำมันท่วมจาน อย่างผัดผัก สลัดผักน้ำข้น กินแล้วความอ้วนก็ยังอยู่เหมือนเดิม ถ้าอยากจะทานผัก คุณจึงควรเข้าครัวปรุงเอง หรือไม่ก็กำชับพ่อครัวให้ใส่น้ำมันให้น้อยที่สุด ส่วนสลัดน้ำข้นแคลอรีเพียบนั้น ขอให้ลืมไปได้เลยจะดีมาก

6. เป้าหมายสุดขอบฟ้า
ก่อนจะตั้งเป้าลดน้ำหนัก ควรจะมองโลกในความป็นจริงก่อนว่า คุณทนทำโปรแกรมลดน้ำหนักแบบบหฤโหดได้หรือเปล่า บางคนตั้งเป้าว่าจะลดน้ำหนักอาทิตย์ละ 5 กิโล ซึ่งอาจจะทำได้ในอาทิตย์แรก แต่อาทิตย์ที่สองนอกจากจะไม่ไหวแล้ว ยังกลับมากินหนักกว่าเดิม เรื่องอ้วนกว่าเก่าจึงไม่ต้องพูดถึง

7. บอกลาของหวาน
ถึงของหวานจะทำให้อ้วน แต่การงดกินของหวานไปเลยก็ยังไม่ใช่วิธีที่ถูกอยู่ดี เพราะมันจะทำให้ทั้งร่างกายและหัวใจคุณเรียกร้อง เมื่อไรที่คุณได้หยิบขนมหวานๆ เข้าปากแค่เพียงชิ้นเดียว คุณจะลืมสิ้นทุกอย่าง คนที่คิดจะตัดญาติขาดมิตรกับของหวานจึงต้องแน่ใจก่อนว่าจะไม่กินได้จริงๆ แต่ถ้ายังทำไม่ได้ขนาดนั้น กูรูเขาบอกว่าให้กินขนมหวานชิ้นเล็กๆ วันละชิ้น ร่างกายจะได้ไม่โหยหาน้ำตาลมากเกินไป


ขอขอบคุณ : http://woman.teenee.com/beautyshape/2723.html



กินเค้กแล้วไม่อ้วน ต้องกินให้ถูกเวลา
พูดถึงการกินเค้กอย่างไรไม่ให้อ้วน สิ่งแรกที่สาว ควรรู้ไว้เลยว่าต้องกินให้ "ถูกเวลา" ซึ่งช่วงเวลาที่หมาะสมกับการกินเค้กนั้นคือ "ช่วงเช้า" อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าอาหารเช้ามีความสำคัญต่อร่างกาย ตอนเช้าเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายทำงานมากที่สุด เมื่อเรากินอาหารเข้าไปทำให้สามารถนำอาหารที่เรากินไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่

ดังนั้นสาวๆ ที่ชอบกินเค้ก ให้นำมาเป็นอาหารที่ให้พลังงานในมื้อเช้า เพราะในช่วงเช้าระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำ ไม่ว่าใครก็ตามที่ตื่นนอนใหม่ๆ สมองจะไม่สามารถทำงานได้คล่องแคล่วในช่วงเวลานี้ เพราะจะมีการตอบสนองที่ไวต่อน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นพิเศษ และน้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย

ถ้าเรากินเค้กในมื้อสาย หรือคิดง่ายๆ ว่าเป็นของว่างระหว่างมื้อในตอนกลางวัน จะทำให้ร่างกายไม่สามารถใช้พลังงานที่ได้จากการกินเค้กหมดไป ร่างกายของจะสามารถใช้พลังงานให้หมดไปด้วยการทำกิจกรรมใน 1 วัน โดยการเคลื่อนไหว ยิ่งเคลื่อนไหวมากร่างกายจะดึงพลังงานจากเค้ก 1 ชิ้นให้หมดไปในช่วงก่อนเที่ยงได้ ... แค่ปรับเวลาการกินเค้กมาอยู่ในช่วงเช้า สาวสวยอย่างเราก็ไม่ต้องกลัวอ้วนอีกต่อไป


ขอขอบคุณ : http://woman.teenee.com/beautyshape/2724.html



8 พฤติกรรมที่ทำให้คุณดูแก่ขึ้น

สาว ๆ ที่ตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับคำว่า "แก่" ต้องฟังทางนี้โดยด่วน นั่นเพราะหากคุณเผลอทำพฤติกรรมที่เรานำมาบอกต่อไปนี้ ความแก่อาจกำลังมาเยือนคุณอย่างไม่รู้ตัวเชียวล่ะ
1.นอนดึกรู้หรอกน่าว่าสาว ๆ เวิร์กกิ้งวูแมนมีงานยุ่งเต็มไม้เต็มมือไปหมด จนใช้เวลาช่วงเย็นจนถึงกลางคืนหมดไปอย่างรวดเร็ว กว่าจะรู้สึกตัวว่าต้องนอนได้แล้วก็ดึกเสียแล้ว แต่รู้ไหมว่า การนอนดึกซึ่งจะทำให้ชั่วโมงการนอนของคุณสาว ๆ น้อยลงนั้นไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน เพราะมีงานวิจัยระบุว่า การนอนดึกนอกจากจะมีผลต่อความดันโลหิต น้ำหนักตัว และโรคเบาหวานแล้ว ยังทำให้คุณดูแก่ขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้บอกให้คุณต้องนอนวันละ 8 ชั่วโมง ที่ใคร ๆ ต่างก็แนะนำว่าดีต่อร่างกายที่สุดหรอกนะ เพราะจำนวนชั่วโมงการนอนที่เหมาะสมของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน ถ้าอยากทราบว่า ร่างกายของเราต้องการนอนมากแค่ไหน ก็ลองปิดนาฬิกาปลุกในวันที่เหนื่อยมาก ๆ และกำลังต้องการการพักผ่อนอย่างสุด ๆ แล้วนอนซะ ตื่นเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น จะได้รู้ว่าธรรมชาติของร่างกายของเราต้องการการนอนมากแค่ไหน ซึ่งโดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่ต้องการการนอนหลับพักผ่อนราว 7-8 ชั่วโมง


2. น้ำตาลทำพิษสาว ๆ กับความหวานอาจจะเป็นของคู่กัน แต่ "น้ำตาล" ที่ทำให้เกิดความหวานนั่นแหละค่ะ คือศัตรูตัวสำคัญของผิวสวยของคุณ เพราะมันจะทำให้ผิวพรรณดูหม่นหมอง และเหี่ยวย่นเอาได้ง่าย ๆ เพราะมันจะไปทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินซึ่งคงความกระชับให้ผิวพรรณนั่นเอง เพราะฉะนั้นแล้ว คุณก็ควรจำกัดการทานน้ำตาล โดยไม่ควรทานให้มากเกิน 10% ของแคลอรีที่ร่างกายได้รับในแต่ละวัน ซึ่งน้ำตาลที่ว่าอาจจะเป็นน้ำตาลที่แฝงอยู่ในขนม เครื่องดื่มต่าง ๆ ที่คุณอาจคาดไม่ถึงด้วยซ้ำ


3.เครียดไปก็แก่ไวงานที่กองสุมหัว แถมปัญหาส่วนตัวก็ยังแก้ไขไม่เสร็จ ย่อมนำความเครียดมาสู่คุณสาว ๆ อย่างแน่นอน แต่หากความเครียดเกิดขึ้นเมื่อใด ฮอร์โมนคอร์ติซอลและนอร์เอพิเนฟรินในกระแสเลือดจะเพิ่มสูงขึ้นจนไปกดภูมิคุ้มกัน และยังไปกระทบสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ความจำ และอารมณ์ ของคุณอีกต่างหาก


4.ฟังเพลงเสียงดังเสียงที่ดังเกินไปจากไอพอดที่คุณฟังทุก ๆ วัน ย่อมส่งผลกระทบต่อประสาทหูของคุณอย่างแน่นอน โดยเพียงแค่คุณเปิดเสียงที่ระดับ 50% ความดังของเสียงก็พุ่งถึง 101 เดซิเบลแล้ว แน่นอนว่าใครที่ชอบฟังเสียงดัง ๆ แบบเต็มสตรีม อาการหูดับคงจะถามหาอย่างไม่ต้องสงสัย ทีนี้ ใครพูดอะไรทีก็ต้องเงี่ยหูฟัง หรือให้เขาพูดดัง ๆ อีกหลายรอบ กลายเป็นคนหูตึงเหมือนคนแก่เลยนะตัวเธอ


5.ไม่ได้เจอเพื่อนเสียนานมีผลการศึกษาชิ้นหนึ่งระบุว่า การมีความสุข และความพึงพอใจในมิตรภาพระหว่างเพื่อนสามารถทำให้ชีวิตยืนยาวขึ้น เพราะความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนจะส่งผลต่อจิตใจ ช่วยให้คุณไม่หดหู่ ซึมเศร้า ลดโอกาสเสี่ยงของโรคหัวใจ และปัญหาสุขภาพต่าง ๆ มากมาย เพราะฉะนั้น ใครที่ไม่ได้เจอะเจอหน้าเพื่อนเก่ามานานแล้ว โทรไปชวนเพื่อน ๆ มาจอยกันดีกว่า


6.ไม่ปลื้มผักผลไม้เอาเสียเลย"ผักผลไม้" ช่วยให้คุณดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ เพราะผักผลไม้มีพลังต่อสู้กับสารอนุมูลอิสระซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายของผิว และร่างกายของคุณ อันจะทำให้คุณดูแก่ขึ้น แถมเจ้าสารอนุมูลอิสระนี้ยังมีส่วนทำลายเซลล์ต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้คุณเป็นโรคมะเร็งได้อีกต่างหาก เพราะฉะนั้นจงกินผักเสียดี ๆ คุณสาว ๆ ทั้งหลาย


7.หลีกหนีไขมัน (ตัวดี)หลายคนเข้าใจว่า "ไขมัน" คือศัตรูที่ร้ายที่สุดของการลดความอ้วน แต่จริง ๆ แล้ว "ไขมัน" ดีที่มีประโยชน์ก็มีอยู่มาก เช่น ไขมันจากปลา ถั่ว และน้ำมันมะกอก ล้วนเป็นไขมันดีและเป็นไขมันที่จำเป็นต่อสมอง หัวใจ กระดูกและข้อต่อต่าง ๆ แถมยังช่วยลดไขมันเลว หรือ LDL คอเลสเตอรอลได้อีกด้วย


8.จำไม่ได้ว่ามีเซ็กส์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่สำหรับสาว ๆ ที่แต่งงานแล้ว ฟังทางนี้ เพราะงานวิจัยพบว่า เซ็กส์ สามารถช่วยให้อายุยืนยาวขึ้นได้ เนื่องจากมันจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ช่วยลดความเจ็บปวด ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง ลดความเครียด แถมยังช่วยให้สุขภาพหัวใจดีขึ้นอีกต่างหาก ที่สำคัญ ยังทำให้คุณดูเด็กลงได้ถึง 12 ปีเลยเชียวนะ

ขอขอบคุณ : http://woman.teenee.com/health/2722.html




อาการทุกมื้อสำคัญกับการนอน

การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดของร่างกาย เพราะช่วยเพิ่มและรักษาประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะต่างๆ ให้สมบูรณ์แข็งแรง ขณะที่ผลเสียของการนอนไม่เพียงพอคือทำให้เซลล์ต่างๆ เสื่อมสภาพ น้ำหนักตัวเพิ่ม ไม่สดชื่น อ่อนล้าและอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย ซึ่งหนึ่งในเคล็ดลับที่ทำให้คุณนอนหลับได้ดีก็คือ อาหารทุกมื้อที่คุณรับประทานเข้าไปนั่นเอง
อาหารเช้า การวางแผนรับประทานอาหารเพื่อการนอนหลับที่ดีนั้นไม่ได้เริ่มที่มื้อก่อนนอน หรือมื้อเย็นเพียงมื้อเดียว แต่ต้องเตรียมความพร้อมกันตั้งแต่มื้อแรกหรืออาหารเช้ากันเลย เพราะอาหารเช้าที่ดีจะช่วยให้ร่างกายตื่นตัว พร้อมลุย เนื่องจากร่างกายได้รับพลังงานอย่างเพียงพอ เราจึงควรรับประทานอาหารประเภทโปรตีน เนื้อสัตว์ ไข่ ข้าว แป้ง รวมทั้งอาหารที่มีไขมันในมื้อเช้ามากกว่ามื้ออื่นๆ ที่สำคัญนอกจากจะรู้สึกไม่กระปรี้กระเปร่าและสมองมีประสิทธิภาพในการทำงานน้อยลงแล้ว การไม่ได้รับประทานอาหารเช้าจะทำให้เรารู้สึกหิวมากในมื้อต่อไป และมักจะกินอะไรที่อยู่ตรงหน้า โดยขาดความยับยั้ง


อาหารว่างเช้า สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาหรือไม่เคยชินกับการรับประทานอาหารเช้าในปริมาณมาก ควรมีอาหารว่างระหว่างมื้อเพื่อเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย เช่น แซนด์วิช ขนมปัง ซาลาเปา ขนมจีบ หรือผลไม้ต่างๆ ยกเว้นผลไม้ดอง


อาหารกลางวัน พลังงานของอาหารมื้อนี้ควรน้อยกว่าอาหารมื้อเช้า โดยอาจจะเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงจากข้าวหรือแป้งที่ไม่ผ่านการขัดสี เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้องงอก ขนมปังโฮลวีท และเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน รวมถึงควรมีผัก และผลไม้เป็นประจำ หรืออาจจะกินขนมสลับบ้างก็ได้ แต่ควรเน้นขนมที่ทำจากถั่ว เช่น ถั่วเขียวต้ม ถั่วแปบ เต้าส่วน เพราะมีแมกนีเซียมสูง ส่วนครื่องดื่มควรหลีกเลี่ยงน้ำหวาน หรือน้ำอัดลมที่มีกาเฟอีนเป็นส่วนผสม


อาหารว่างบ่าย เป็นมื้อที่มีความสำคัญต่อสุขภาพการนอนที่ดี ดังนั้นตั้งแต่มื้อนี้เป็นต้นไปเราไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนสูง เช่น กาแฟ ชา โกโก้ เครื่องดื่มชูกำลัง แต่ถ้ารู้สึกง่วงให้ดื่มชาเขียวอ่อนๆ แทน หรือจะรับประทานผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ถั่วต่างๆ ก็ได้ รวมถึงควรเลือกดื่มนมวัวพร่องไขมัน นมถั่วเหลือง โยเกิร์ต ซึ่งนอกจากจะทำให้อิ่มท้องแล้ว ยังมีแคลเซียมสูง ป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งเป็นปัญหารบกวนการนอนในเวลากลางคืน


อาหารเย็น เป็นมื้อที่ใกล้เวลานอนที่สุด มีข้อแนะนำที่ควรทำและควรหลีกเลี่ยงเพื่อช่วยให้หลับอย่างสบายดังนี้
- กินอาหารเย็นตรงเวลา เพื่อให้ร่างกายเกิดความเคยชิน และควรกินก่อนนอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายไม่ต้องทำงานหนักในเวลานอนแล้ว ยังช่วยป้องกันและบรรเทาอาการกรดไหลย้อน ซึ่งจะมีผลต่อคุณภาพของการนอนเป็นอย่างมาก


- ลดไขมัน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีพลังงานสูง อาหารทีมีฤทธิ์เป็นธาตุร้อน เช่น อาหารทอด อาหารมัน แกงกะทิ ขนมที่มีครีมเข้มข้น อาหารเผ็ดจัด เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารดิบ น้ำอัดลม เพราะอาหารเหล่านี้จะย่อยยาก ร่างกายต้องใช้เวลาในการเผาผลาญนาน ทำให้ร่างกายตื่นตัว ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการนอนไม่หลับ ด้วยเหตุนี้มื้อเย็นจึงควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ซึ่งการปรุงด้วยการต้ม นึ่ง ตุ๋น อย่างเช่น ซุป หรือ แกงจืด จะย่อยง่ายกว่าแกงกะทิ ผัดผัก ดังนั้นจึงควรเลือกปลานึ่ง ไข่ตุ๋น แทนปลาทอด หรือไข่เจียว รวมถึงเลือกเนื้อสัตว์ชนิดที่ไม่มีหนังและมัน สำหรับมื้อเย็น

- จำกัดปริมาณผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งมักจะมีฤทธิ์ร้อน ทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานในการเผาผลาญมาก ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว เช่น ทุเรียน ลำไย ขนุน ถ้าชอบรับประทานผลไม้เหล่านี้ก็ควรเลื่อนไปเป็นมื้อเช้า หรือมื้อกลางวันแทน นอกจากนี้ยังไม่ควรรับประทานผลไม้แทนอาหารเย็น รวมถึงไม่ควรดื่มน้ำผลไม้ หรือรับประทานผลไม้ครั้งละมากๆ เพราะสารอาหารหลักของผลไม้คือคาร์โบไฮเดรทหรือน้ำตาล แต่ควรเลือกรับประทานผลไม้แทนขนมหวานที่มีส่วนผสมของกะทิ

- เคี้ยวอาหารให้ละเอียด มื้อเย็นเป็นมื้อที่มีเวลาในการรับประทานมากกว่ามื้ออื่น จึงถือเป็นช่วงจังหวะที่เราควรเคี้ยวอาหารหลายๆ ครั้ง ซึ่งจะเกิดผลดีต่อร่างกายคือ ทำให้อิ่มง่าย ไม่รบกวนการทำงานของระบบย่อยและดูดซึมของกระเพาะอาหารและลำไส้

- กินข้าว แป้งที่ไม่ผ่านการขัดสี เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้องงอก หรือโรยข้าวด้วยจมูกข้าวเป็นประจำทุกมื้อเย็น จะทำให้ร่างกายเก็บสะสมทริปโตเฟน (Tryptophan) และกาบา (GABA) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทในระบบประสาทส่วนกลาง ที่มีคุณสมบัติพิเศษช่วยให้ผ่อนคลายและทำให้นอนหลับได้ดี แต่ต้องรับประทานต่อเนื่องเป็นประจำ

- เมนูปลา ถ้าร่างกายมีภาวะเครียดสูงทำให้นอนหลับยาก ดังนั้นลองเลือกเมนูจากปลาทะเลซึ่งอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 หรือน้ำมันปลา และแมกนีเซียม ซึ่งเป็นสารอาหารที่ต่อต้านความเครียด เช่น ข้าวต้มปลา ปลาผัดคี่นไช่ ปลาย่างซีอิ้ว ปลานึ่ง สเต็กปลา เป็นเมนูประจำสำหรับมื้อเย็น

- ลดโซเดียม เกลือหรือโซเดียมทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ส่งผลให้ร่างกายกระสับกระส่ายนอนหลับยากขึ้น ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารทีมีโซเดียมสูง เช่น ผลไม้ดอง ปลาเค็ม กุ้งแห้ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มันฝรั่งทอดกรอบ รวมถึงการปรุงอาหารเค็มจัดและใส่ผงชูรสปริมาณมากด้วย
นอกจากความสำคัญของอาหารทุกมื้อแล้ว ยังมีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ อื่นๆ ที่อาจจะช่วยให้คุณนอนหลับได้ดีขึ้นดังนี้
- ผลไม้ที่ช่วยให้หลับสบาย ได้แก่ กล้วย อินทผลัม ลูกพรุน ซึ่งอุดมไปด้วยกรดอะมิโนทริปโตเฟน โดยสมองจะนำทริปโตเฟนไปสร้างสารเซโรโทนิน (serotonin) ซึ่งถ้าร่างกายมีสารตัวนี้เพียงพอ ก็จะเพิ่มการหลั่งของฮอร์โมนเมลาโทนิน (melatonin) ซึ่งช่วยในการควบคุมการนอนหลับ ให้มีมากขึ้น ร่างกายจะรู้สึกผ่อนคลายจากความเครียด อารมณ์ดี นอนหลับสนิทตลอดคืน โดยนอกจากในผลไม้แล้ว ทริปโตเฟนยังพบมากในนม เผือก มัน สาหร่ายทะเล และงา

- เพิ่มวิตามิน B6 B12 เพราะวิตามินบี 6 มีความสำคัญในการสังเคราะห์เซโรโทนิน ขณะที่วิตามินบี 12 จะช่วยลดอาการนอนไม่หลับ ซึ่งเมนูที่มีวิตามิน 2 ตัวนี้สูงก็คือ ข้าวโอ๊ตใส่นมสดและกล้วยหอม ซุปไก่มันฝรั่ง และตับบด

- เครื่องดื่มและน้ำ ควรดื่มวันละ 6-8 แก้ว แต่อย่าดื่มมากก่อนเข้านอน เพราะอาจจะต้องลุกมาเข้าห้องน้ำกลางดึก ทำให้นอนต่อไม่ได้ ส่วนเครื่องดื่มที่ช่วยให้หลับสบาย ได้แก่ น้ำเก๊กฮวย ชาคาโมมายด์ น้ำมะตูมอุ่นๆ น้ำข้าวต้ม น้ำงาดำโดยผสมน้ำผึ้งเล็กน้อย น้ำผึ้งซึ่งเป็นยาคลายเครียดอย่างอ่อนๆ จากธรรมชาติ

ขอขอบคุณ : http://woman.teenee.com/health/2709.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น